หากท่านพบว่าคุณภาพเสียงไม่ดีในระหว่างการโทร กรุณาลองดำเนินการต่อไปนี้ทีละอย่าง ตรวจสอบดูหลังจากลองดำเนินการแต่ละอย่างว่าแก้ไขปัญหาได้แล้วหรือไม่ ก่อนที่จะลองวิธีถัดไป
คำชี้แนะ
ขั้นตอนต่อไปนี้อาจแตกต่างกันใน Android เวอร์ชันต่างๆ ถ้าต้องการเรียนรู้ว่าอุปกรณ์ของท่านใช้ Android เวอร์ชันอะไร กรุณาหาและแตะที่ การตั้งค่า (Settings) → เกี่ยวกับโทรศัพท์ (About phone) → เวอร์ชัน Android หากท่านไม่พบเกี่ยวกับโทรศัพท์ (About phone) ในการตั้งค่า (Settings) กรุณาแตะที่ระบบ (System)
- ตรวจสอบความแรงสัญญาณของเครือข่ายในแถบสถานะ เพื่อตรวจสอบให้แน่ใจว่าอุปกรณ์ของท่านเชื่อมต่อกับเครือข่ายแล้ว หากสัญญาณอ่อนหรือไม่มีสัญญาณเลย กรุณาย้ายไปยังตำแหน่งที่ตั้งซึ่งเปิดโล่ง ไม่มีสิ่งกีดขวาง หรือเข้าใกล้หน้าต่าง
- หากอุปกรณ์ของท่านใช้ฝาปิดหรือเคส กรุณาถอดออกเพื่อดูว่าคุณภาพเสียงดีขึ้นหรือไม่
- ตรวจสอบว่ามือของท่านไม่ได้บังไมโครโฟนของโทรศัพท์ และตรวจสอบว่าไม่มีน้ำหรือฝุ่นอุดตันไมโครโฟนหรือบริเวณรอบไมโครโฟน
- ปิดอุปกรณ์ของท่านแล้วเปิดขึ้นมาใหม่ โดยการดำเนินการนี้ ท่านจะปิดแอปพลิเคชันที่ทำงานอยู่ทั้งหมด และทำให้หน่วยความจำว่าง ซึ่งบางครั้งจะแก้ไขปัญหาได้โดยอัตโนมัติ
- โทรหาโทรศัพท์อีกเครื่องหนึ่ง เพื่อตรวจดูว่าไม่มีปัญหาเกี่ยวกับลำโพงแบบแนบหูของโทรศัพท์เครื่องที่ท่านกำลังโทรเมื่อปัญหาเกิดขึ้น หากเป็นไปได้ กรุณาโทรด้วย SIM การ์ดอื่นเพื่อตรวจสอบว่า SIM การ์ดปัจจุบันของท่านไม่ได้เสียหายหรือเก่าเกินไป
หากวิธีการแก้ไขที่แนะนำไม่ได้ผล กรุณาลองดำเนินการต่อไปนี้:
- ทำการทดสอบอย่างรวดเร็วเพื่อยืนยันว่าไมโครโฟน และลำโพงแบบแนบหูทำงานอย่างถูกต้อง
วิธีดำเนินการทดสอบโดยใช้การสนับสนุน (Support)
- หาและแตะที่ การตั้งค่า (Settings) → การสนับสนุน (Support)
- แตะ (ไอคอนการทดสอบ (Tests icon)) แล้วเลือกการทดสอบจากรายการ
- ทำตามคำแนะนำเพื่อทำการทดสอบ
- ใช้เซฟโหมด (Safe mode) เพื่อตรวจสอบว่าแอปพลิเคชันที่ดาวน์โหลดเป็นสาเหตุของปัญหาหรือไม่ ในเซฟโหมด (Safe mode) อุปกรณ์ของท่านจะเริ่มทำงานด้วยซอฟต์แวร์และแอปพลิเคชันเฉพาะที่ติดตั้งไว้เมื่อท่านซื้ออุปกรณ์เท่านั้น หากประสิทธิภาพของอุปกรณ์ดีขึ้นในเซฟโหมด (Safe mode) มีแนวโน้มว่าแอปพลิเคชันที่ดาวน์โหลดหลังจากซื้ออุปกรณ์อย่างน้อยหนึ่งตัวส่งผลกระทบในเชิงลบกับอุปกรณ์ ท่านสามารถออกจากเซฟโหมดและเริ่มการทำงานของอุปกรณ์ใหม่เพื่อถอนการติดตั้งแอปพลิเคชันที่ท่านสงสัยว่าเป็นสาเหตุของปัญหาได้ หากปัญหาเพิ่งเกิดขึ้นและท่านไม่แน่ใจว่าแอปพลิเคชันใดที่เป็นสาเหตุของปัญหา ท่านสามารถเริ่มได้โดยถอนการติดตั้งแอปพลิเคชันที่ดาวน์โหลดล่าสุด
วิธีเปิดใช้งานเซฟโหมด
- ในขณะที่อุปกรณ์เปิดเครื่องอยู่ กรุณากดปุ่มเปิดปิดค้างไว้
- ในกล่องโต้ตอบที่ปรากฏขึ้น กรุณาแตะที่ ปิดเครื่อง (Power off) ค้างไว้ แล้วแตะที่ ตกลง (OK) หากมีข้อความแจ้ง
- รอให้อุปกรณ์เริ่มการทำงานใหม่ในเซฟโหมด (Safe mode)
หมายเหตุ
หากต้องการออกจากเซฟโหมด (Safe mode) กรุณาเริ่มการทำงานของอุปกรณ์ใหม่
ถ้าต้องการถอนการติดตั้งแอปพลิเคชันจากหน้าจอแอปพลิเคชัน (Android 12/Android 11/Android 10)
หมายเหตุ
แอปที่ดาวน์โหลดมาเท่านั้น ที่สามารถถอนการติดตั้งอย่างสมบูรณ์ได้
- แตะไอคอนแอปค้างไว้จนกว่าอุปกรณ์จะสั่น
- ในเมนูที่เปิดขึ้นมา แตะที่ ข้อมูลแอป (App info) → ถอนการติดตั้ง (Uninstall)
ถ้าต้องการถอนการติดตั้งแอปพลิเคชันจากหน้าจอแอปพลิเคชัน (Android 9/Android 8)
หมายเหตุ
แอปที่ดาวน์โหลดเท่านั้นที่สามารถถอนการติดตั้งอย่างสมบูรณ์ได้
- แตะไอคอนแอปค้างไว้จนกว่าอุปกรณ์จะสั่น
- ในเมนูที่เปิดขึ้นมา แตะที่ (ไอคอนถอนการติดตั้ง) → ตกลง (OK)
- อัปเดตอุปกรณ์ของท่านเพื่อให้แน่ใจว่าท่านจะได้รับประสิทธิภาพสูงสุดและการปรับปรุงล่าสุด
- ดำเนินการรีเซ็ตให้เป็นค่าเริ่มต้นจากโรงงาน ในบางครั้ง นี่คือวิธีการแก้ไขที่ดีที่สุดหากอุปกรณ์ของท่านทำงานไม่ถูกต้อง แต่โปรดทราบว่าวิธีนี้จะลบเนื้อหาส่วนบุคคลทั้งหมดที่บันทึกไว้ในหน่วยความจำภายในของอุปกรณ์ของท่านออกไป ตรวจสอบว่าได้สำรองข้อมูลที่ท่านต้องการเก็บไว้แล้ว
วิธีสำรองข้อมูลของท่านโดยใช้คอมพิวเตอร์
- ปลดล็อกหน้าจออุปกรณ์ของท่านและเชื่อมต่ออุปกรณ์ของท่านกับคอมพิวเตอร์โดยใช้สาย USB
- ในคอมพิวเตอร์ กรุณาเลือกไฟล์ที่จะสำรองข้อมูล จากนั้นคัดลอกและวาง หรือลากและวางไฟล์ไปยังตำแหน่งที่ตั้งในคอมพิวเตอร์ของท่าน
วิธีสำรองข้อมูลและซิงโครไนซ์แอป การตั้งค่าโทรศัพท์ และประวัติการโทร
- หาและแตะที่ การตั้งค่า (Settings) → ระบบ (System) → การสำรองข้อมูล (Backup) ท่านจะพบรายการดังกล่าวได้ใน ขั้นสูง (Advanced)
- แตะสวิตช์เพื่อเปิดใช้ฟังก์ชัน ข้อมูลแอป การตั้งค่าอุปกรณ์ และประวัติการโทรของท่านจะได้รับการสำรองข้อมูลโดยอัตโนมัติ
หมายเหตุ
ท่านยังสามารถเปิดใช้การสำรองข้อมูลจากเมนูการตั้งค่าใน Google Drive ได้อีกด้วย ท่านสามารถซิงโครไนซ์ข้อมูลแอป การตั้งค่าอุปกรณ์ และประวัติการโทรของท่านโดยอัตโนมัติโดยการล็อกอินบัญชี Google ที่ใช้ซิงโครไนซ์ข้อมูลในอุปกรณ์เครื่องเก่าของท่าน เมื่อท่านเปิดอุปกรณ์เครื่องใหม่ของท่านเป็นครั้งแรก กรุณาล็อกอินบัญชี Google ในระหว่างตัวช่วยสร้างการติดตั้ง่ทำงาน
ถ้าต้องการรีเซ็ตให้เป็นข้อมูลจากโรงงาน (Android 12/Android 11/Android 10)
หมายเหตุ
เพื่อหลีกเลี่ยงความเสียหายถาวรต่ออุปกรณ์ของท่าน กรุณาอย่าขัดจังหวะขั้นตอนการรีเซ็ตให้เป็นค่าเริ่มต้นจากโรงงาน
- ทำการสำรองข้อมูลสำคัญใดๆ ที่บันทึกไว้ในหน่วยความจำภายในของอุปกรณ์ของท่านไปยังการ์ดหน่วยความจำหรือหน่วยความจำอื่นที่ไม่ใช่หน่วยความจำภายใน หากท่านมีไฟล์ที่เข้ารหัสจัดเก็บไว้ในการ์ด SD ท่านควรลบการเข้ารหัสออกก่อน เพื่อให้แน่ใจว่าท่านจะยังสามารถเข้าใช้งานได้หลังจากการรีเซ็ต
- หาและแตะที่ การตั้งค่า (Settings) → ระบบ (System) → ตัวเลือกการรีเซ็ต (Reset options) ท่านจะพบรายการดังกล่าวได้ใน ขั้นสูง (Advanced)
- แตะที่ ลบข้อมูลทั้งหมด (Erase all data) (รีเซ็ตเป็นค่าจากโรงงาน (Factory reset)) → ลบข้อมูลทั้งหมด (Erase all data)
- หากจำเป็น กรุณาวาดรูปแบบการปลดล็อกหน้าจอหรือป้อนรหัสผ่านหรือ PIN สำหรับปลดล็อกหน้าจอเพื่อดำเนินการต่อ
- ในการยืนยัน กรุณาแตะที่ ลบข้อมูลทั้งหมด (Erase all data)
คำชี้แนะ
อุปกรณ์ของท่านจะไม่ย้อนกลับเป็นเวอร์ชันของซอฟต์แวร์ Android ก่อนหน้าเมื่อท่านดำเนินการรีเซ็ตให้เป็นค่าเริ่มต้นจากโรงงาน
วิธีการรีเซ็ตกลับเป็นข้อมูลจากโรงงาน (Android 9)
หมายเหตุ
เพื่อหลีกเลี่ยงความเสียหายถาวรต่ออุปกรณ์ของท่าน กรุณาอย่าขัดจังหวะขั้นตอนการรีเซ็ตให้เป็นค่าเริ่มต้นจากโรงงาน
- ทำการสำรองข้อมูลสำคัญใดๆ ที่บันทึกไว้ในหน่วยความจำภายในของอุปกรณ์ของท่านไปยังการ์ดหน่วยความจำหรือหน่วยความจำอื่นที่ไม่ใช่หน่วยความจำภายใน หากท่านมีไฟล์ที่เข้ารหัสจัดเก็บไว้ในการ์ด SD ท่านควรลบการเข้ารหัสออกก่อน เพื่อให้แน่ใจว่าท่านจะยังสามารถเข้าใช้งานได้หลังจากการรีเซ็ต
- หาและแตะที่ การตั้งค่า (Settings) → ระบบ (System) → ตัวเลือกการรีเซ็ต (Reset options) ท่านจะพบรายการดังกล่าวได้ใน ขั้นสูง (Advanced)
- แตะที่ ลบข้อมูลทั้งหมด (Erase all data) (รีเซ็ตเป็นค่าจากโรงงาน (Factory reset)) → รีเซ็ตโทรศัพท์ (Reset phone)
- หากจำเป็น กรุณาวาดรูปแบบการปลดล็อกหน้าจอหรือป้อนรหัสผ่านหรือ PIN สำหรับปลดล็อกหน้าจอเพื่อดำเนินการต่อ
- ในการยืนยัน กรุณาแตะที่ ลบทุกอย่าง (Erase everything)
คำชี้แนะ
อุปกรณ์ของท่านจะไม่ย้อนกลับเป็นเวอร์ชันของซอฟต์แวร์ Android ก่อนหน้าเมื่อท่านดำเนินการรีเซ็ตให้เป็นค่าเริ่มต้นจากโรงงาน
วิธีการรีเซ็ตกลับเป็นข้อมูลจากโรงงาน (Android 8)
หมายเหตุ
เพื่อหลีกเลี่ยงความเสียหายถาวรต่ออุปกรณ์ของท่าน กรุณาอย่าขัดจังหวะขั้นตอนการรีเซ็ตให้เป็นค่าเริ่มต้นจากโรงงาน
- ทำการสำรองข้อมูลสำคัญใดๆ ที่บันทึกไว้ในหน่วยความจำภายในของอุปกรณ์ของท่านไปยังการ์ดหน่วยความจำหรือหน่วยความจำอื่นที่ไม่ใช่หน่วยความจำภายใน หากท่านมีไฟล์ที่เข้ารหัสจัดเก็บไว้ในการ์ด SD ท่านควรลบการเข้ารหัสออกก่อน เพื่อให้แน่ใจว่าท่านจะยังสามารถเข้าใช้งานได้หลังจากการรีเซ็ต
- หาและแตะที่ การตั้งค่า (Settings) → ระบบ (System) → รีเซ็ต (Reset)
- แตะที่ การรีเซ็ตให้เป็นข้อมูลจากโรงงาน (Factory data reset) → รีเซ็ตโทรศัพท์ (Reset phone)
- หากจำเป็น กรุณาวาดรูปแบบการปลดล็อกหน้าจอหรือป้อนรหัสผ่านหรือ PIN สำหรับปลดล็อกหน้าจอเพื่อดำเนินการต่อ
- ในการยืนยัน กรุณาแตะที่ ลบทุกอย่าง (Erase everything)
คำชี้แนะ
อุปกรณ์ของท่านจะไม่ย้อนกลับเป็นเวอร์ชันของซอฟต์แวร์ Android ก่อนหน้าเมื่อท่านดำเนินการรีเซ็ตให้เป็นค่าเริ่มต้นจากโรงงาน