คำชี้แนะ
ขั้นตอนต่อไปนี้อาจแตกต่างกันใน Android เวอร์ชันต่างๆ ถ้าต้องการเรียนรู้ว่าอุปกรณ์ของท่านใช้ Android เวอร์ชันอะไร กรุณาหาและแตะที่การตั้งค่า (Settings) → เกี่ยวกับโทรศัพท์ (About phone) → เวอร์ชัน Android หากท่านไม่พบเกี่ยวกับโทรศัพท์ (About phone) ในการตั้งค่า (Settings) กรุณาแตะที่ระบบ (System)
- ปิดใช้งานการเชื่อมต่อข้อมูลทั้งหมดผ่านเครือข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ เพื่อประหยัดพลังงานเมื่อท่านไม่ได้ใช้อินเทอร์เน็ต การทำเช่นนั้นจะไม่ขัดขวางอุปกรณ์ของท่านจากการส่งข้อมูลผ่านเครือข่ายไร้สายอื่นๆ
ถ้าต้องการเปิดหรือปิดการรับส่งข้อมูล (Android 12/Android 11)
- กรุณาหาและแตะที่ การตั้งค่า (Settings) → เครือข่ายและอินเทอร์เน็ต (Network & internet) → เครือข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ (Mobile network) (SIM ในกรณีของ Android 12)
- หากท่านกำลังใช้ SIM การ์ด 2 ใบ ให้เลือก SIM การ์ด 1 ใบ
- แตะที่ เน็ตมือถือ (Mobile data) เพื่อเปิดหรือปิดการรับส่งข้อมูล
คำชี้แนะ
เมื่อปิดการรับส่งข้อมูลแล้ว อุปกรณ์ของท่านจะยังสามารถทำการเชื่อมต่อกับ Wi-Fi และ Bluetooth ได้
วิธีเปิดหรือปิดการรับส่งข้อมูล (Android 10)
- หาและแตะที่ การตั้งค่า (Settings) → เครือข่ายและอินเทอร์เน็ต (Network & internet) → เครือข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ (Mobile network)
- แตะที่ เน็ตมือถือ (Mobile data) เพื่อเปิดหรือปิดการรับส่งข้อมูล
คำชี้แนะ
เมื่อปิดการรับส่งข้อมูลแล้ว อุปกรณ์ของท่านจะยังสามารถสร้างการเชื่อมต่อ Wi-Fi และ Bluetooth ได้
ถ้าต้องการเปิดหรือปิดการรับส่งข้อมูล (Android 9/Android 8)
- หาและแตะที่ การตั้งค่า (Settings) → เครือข่ายและอินเทอร์เน็ต (Network & internet) → การใช้ข้อมูล (Data usage)
- แตะที่สวิตช์ เน็ตมือถือ (Mobile data) เพื่อเปิดหรือปิดการรับส่งข้อมูล
คำชี้แนะ
เมื่อปิดการรับส่งข้อมูลแล้ว อุปกรณ์ของท่านจะยังสามารถทำการเชื่อมต่อกับ Wi-Fi และ Bluetooth ได้
- ปิดการเชื่อมต่อ GPS, Bluetooth และ Wi-Fi เมื่อท่านไม่ต้องการใช้คุณสมบัติเหล่านี้
- เพิ่มระยะเวลาการซิงโครไนซ์สำหรับอีเมล ปฏิทิน และรายชื่อ
ถ้าต้องการเปลี่ยนแปลงว่าจะให้มีการตรวจเช็คอินบ็อกซ์ในแอป Sony Email /Gmail ถี่เท่าใด
- ค้นหาและแตะ Email/Gmail
- แตะที่ (ไอคอนเมนู) → การตั้งค่า (Settings)
- เลือกบัญชี
- แตะที่ ความถี่การตรวจเช็ค/ความถี่การซิงโครไนซ์ (Check frequency/Synch frequency) → ตรวจเช็คความถี่ (Check frequency) และจากนั้นเลือกที่ตัวเลือก
- ติดตามดูการใช้แบตเตอรี่ของท่าน และดูว่าแอปพลิเคชันใดใช้พลังงานสูงสุด
ถ้าต้องการทบทวน และลดการใช้พลังงานแบตเตอรี่ (Android 12/Android 11/Android 10)
- หาและแตะที่ การตั้งค่า (Settings) → แบตเตอรี่ (Battery) เพื่อดูจำนวนเปอร์เซ็นต์และเวลาที่เหลือโดยประมาณของแบตเตอรี่
- แตะที่ (ไอคอนเพิ่มเติม) → การใช้งานแบตเตอรี่ (Battery usage) เพื่อดูรายการแอปพลิเคชัน และคุณสมบัติต่าง ๆ ที่ใช้พลังงานแบตเตอรี่นับจากรอบการชาร์จล่าสุด แตะที่ (ไอคอนเพิ่มเติม (Menu icon)) เพื่อสลับระหว่างการใช้งานแอป และการใช้งานของทั้งอุปกรณ์ ใน Android 12 ท่านสามารถดูการใช้งานของทั้งอุปกรณ์ได้ โดยการแตะที่การใช้งานแบตเตอรี่ (Battery usage)
- แตะรายการเพื่อรับข้อมูลเกี่ยวกับวิธีลดการใช้แบตเตอรี่
ถ้าต้องการทบทวน และลดการใช้พลังงานแบตเตอรี่ (Android 9/Android 8)
- หาและแตะที่ การตั้งค่า (Settings) → แบตเตอรี่ (Battery) เพื่อดูจำนวนเปอร์เซ็นต์และเวลาที่เหลือโดยประมาณของแบตเตอรี่
- แตะที่ ขั้นสูง (Advanced) เพื่อดูรายการแอปพลิเคชัน และคุณสมบัติที่ใช้พลังงานแบตเตอรี่นับจากรอบการชาร์จล่าสุด
- แตะรายการเพื่อรับข้อมูลเกี่ยวกับวิธีลดการใช้แบตเตอรี่
ถ้าต้องการดูการใช้กำลังงานแบตเตอรี่สำหรับแอปพลิเคชันต่าง ๆ (Android 12/Android 11/Android 10/Android 9)
- หาและแตะที่ การตั้งค่า (Settings) → แอปและการแจ้งเตือนหรือแอป (Apps & notifications or Apps)
- เลือกแอปพลิเคชันและตรวจสอบการใช้แบตเตอรี่ภายใต้ แบตเตอรี่ (Battery) ท่านจะพบรายการดังกล่าวใน ขั้นสูง (Advanced)
ถ้าต้องการดูการใช้กำลังงานแบตเตอรี่สำหรับแอปพลิเคชันต่าง ๆ (Android 8)
- หาและแตะที่ การตั้งค่า (Settings) → แอปและการแจ้งเตือน (Apps & notifications) → ข้อมูลแอป (App info)
- เลือกแอปพลิเคชันและตรวจสอบการใช้แบตเตอรี่ภายใต้ แบตเตอรี่ (Battery)
- ปิดและออกจากแอปพลิเคชันที่ท่านไม่ได้ใช้
- ลดระดับความสว่างของหน้าจอ
ถ้าต้องการปรับความสว่างของหน้าจอเอง (Android 12/Android 11/Android 10/Android 9)
- หาและแตะที่ การตั้งค่า (Settings) → จอแสดงผล (Display) → ปรับความสว่างอัตโนมัติ (Adaptive brightness) และจากนั้นแตะที่สวิตช์ ปรับความสว่างอัตโนมัติ (Adaptive brightness) เพื่อปิดใช้งานฟังก์ชันนี้ ถ้าหากยังไม่ได้ปิดการทำงานไว้
- กลับไปที่หน้าจอก่อนหน้า
- แตะที่ ระดับความสว่าง (Brightness level)
- ลากตัวเลื่อนเพื่อปรับความสว่าง
ถ้าต้องการปรับความสว่างของหน้าจอเอง (Android 8)
- หาและแตะที่ การตั้งค่า (Settings) → จอแสดงผล (Display) จากนั้นแตะที่สวิตช์ ปรับความสว่างอัตโนมัติ (Adaptive brightness) เพื่อปิดใช้งานฟังก์ชันนี้ ถ้าหากยังไม่ได้ปิดการใช้งานไว้
- แตะที่ ระดับความสว่าง (Brightness level)
- ลากตัวเลื่อนเพื่อปรับความสว่าง
- หากอุปกรณ์ของท่านเชื่อมต่อกับหน้าจอภายนอก ให้ปิดหน้าจอบนอุปกรณ์ของท่าน
ถ้าต้องการปิดหน้าจออุปกรณ์ของท่านเมื่อใช้การสะท้อนหน้าจอ (Screen mirroring) (Android 12/Android 11/Android 10/Android 9)
- หาและแตะที่ การตั้งค่า (Settings) → การเชื่อมต่ออุปกรณ์ (Device connection) → การตั้งค่าการเชื่อมต่อ (Connection preferences) → การสะท้อนหน้าจอ (Screen mirroring)
- แตะที่ (ไอคอนเพิ่มเติม) → การตั้งค่า (Settings)
- แตะสวิตช์ข้าง เปิดหน้าจออุปกรณ์ของท่านค้างไว้ (Keep your device's screen on) เพื่อปิดใช้งานฟังก์ชันนี้
วิธีปิดหน้าจออุปกรณ์ของท่านขณะที่ใช้การสะท้อนหน้าจอ (Screen mirroring) (Android 8)
- หาและแตะที่ การตั้งค่า (Settings) → การเชื่อมต่ออุปกรณ์ (Device connection)
- แตะสวิตช์ข้าง เปิดหน้าจออุปกรณ์ของท่านค้างไว้ (Keep your device's screen on) เพื่อปิดใช้งานฟังก์ชันนี้
- ปิดอุปกรณ์ของท่านหรือเปิดใช้โหมดใช้งานบนเครื่องบินหากท่านอยู่ในบริเวณที่ไม่ใช่พื้นที่ครอบคลุมของเครือข่าย ไม่เช่นนั้นอุปกรณ์ของท่านจะสแกนหาเครือข่ายที่ใช้ได้ซ้ำๆ และการทำเช่นนี้จะสิ้นเปลืองพลังงาน
ถ้าต้องการปิดโหมดเครื่องบิน (Airplane mode)
- หาและแตะที่ การตั้งค่า (Settings) → เครือข่ายและอินเทอร์เน็ต (Network & internet)
- แตะสวิตช์ โหมดเครื่องบิน (Airplane mode) เพื่อเปิดใช้ฟังก์ชัน ท่านจะพบรายการดังกล่าวใน ขั้นสูง (Advanced)
- ใช้ชุดหูฟังของแท้จาก Sony เพื่อฟังเพลง ชุดหูฟังใช้พลังงานแบตเตอรี่น้อยกว่าลำโพงในตัวอุปกรณ์
- ปิดใช้งานภาพพื้นหลังเคลื่อนไหว
- อัปเดตอุปกรณ์ของท่านเพื่อให้แน่ใจว่าท่านจะได้รับประสิทธิภาพสูงสุดและการปรับปรุงล่าสุด
- ดำเนินการรีเซ็ตให้เป็นค่าเริ่มต้นจากโรงงาน ในบางครั้ง นี่คือวิธีการแก้ไขที่ดีที่สุดหากอุปกรณ์ของท่านทำงานไม่ถูกต้อง แต่โปรดทราบว่าวิธีนี้จะลบเนื้อหาส่วนบุคคลทั้งหมดที่บันทึกไว้ในหน่วยความจำภายในของอุปกรณ์ของท่านออกไป ตรวจสอบว่าได้สำรองข้อมูลที่ท่านต้องการเก็บไว้แล้ว
วิธีสำรองข้อมูลโดยใช้คอมพิวเตอร์
- ปลดล็อกหน้าจออุปกรณ์ของท่านและเชื่อมต่ออุปกรณ์ของท่านกับคอมพิวเตอร์โดยใช้สาย USB
- ในคอมพิวเตอร์ กรุณาเลือกไฟล์ที่จะสำรองข้อมูล จากนั้นคัดลอกและวาง หรือลากและวางไฟล์ไปยังตำแหน่งที่ตั้งในคอมพิวเตอร์ของท่าน
วิธีสำรองข้อมูลและซิงโครไนซ์แอป การตั้งค่าโทรศัพท์ และประวัติการโทร
- หาและแตะที่ การตั้งค่า (Settings) → ระบบ (System) → การสำรองข้อมูล (Backup) ท่านจะพบรายการดังกล่าวใน ขั้นสูง (Advanced)
- แตะสวิตช์เพื่อเปิดใช้ฟังก์ชัน ข้อมูลแอป การตั้งค่าอุปกรณ์ และประวัติการโทรของท่านจะได้รับการสำรองข้อมูลโดยอัตโนมัติ
หมายเหตุ
ท่านยังสามารถเปิดใช้การสำรองข้อมูลจากเมนูการตั้งค่าใน Google Drive ได้อีกด้วย ท่านสามารถซิงโครไนซ์ข้อมูลแอป การตั้งค่าอุปกรณ์ และประวัติการโทรของท่านโดยอัตโนมัติโดยการล็อกอินบัญชี Google ที่ใช้ซิงโครไนซ์ข้อมูลในอุปกรณ์เครื่องเก่าของท่าน เมื่อท่านเปิดอุปกรณ์เครื่องใหม่ของท่านเป็นครั้งแรก กรุณาล็อกอินบัญชี Google ในระหว่างตัวช่วยสร้างการติดตั้ง่ทำงาน
ถ้าต้องการทำการรีเซ็ตให้เป็นข้อมูลจากโรงงาน (Android 12/Android 11/Android 10)
หมายเหตุ
เพื่อหลีกเลี่ยงความเสียหายถาวรต่ออุปกรณ์ของท่าน กรุณาอย่าขัดจังหวะขั้นตอนการรีเซ็ตให้เป็นค่าเริ่มต้นจากโรงงาน
- ทำการสำรองข้อมูลสำคัญใดๆ ที่บันทึกไว้ในหน่วยความจำภายในของอุปกรณ์ของท่านไปยังการ์ดหน่วยความจำหรือหน่วยความจำอื่นที่ไม่ใช่หน่วยความจำภายใน หากท่านมีไฟล์ที่เข้ารหัสจัดเก็บไว้ในการ์ด SD ท่านควรลบการเข้ารหัสออกก่อน เพื่อให้แน่ใจว่าท่านจะยังสามารถเข้าใช้งานได้หลังจากการรีเซ็ต
- หาและแตะที่ การตั้งค่า (Settings) → ระบบ (System) → ตัวเลือกการรีเซ็ต (Reset options) ท่านจะพบรายการดังกล่าวใน ขั้นสูง (Advanced)
- แตะที่ ลบข้อมูลทั้งหมด (Erase all data) (factory reset) → ลบข้อมูลทั้งหมด (Erase all data)
- หากจำเป็น กรุณาวาดรูปแบบการปลดล็อกหน้าจอหรือป้อนรหัสผ่านหรือ PIN สำหรับปลดล็อกหน้าจอเพื่อดำเนินการต่อ
- ในการยืนยัน กรุณาแตะที่ ลบข้อมูลทั้งหมด (Erase all data)
คำชี้แนะ
อุปกรณ์ของท่านจะไม่ย้อนกลับเป็นเวอร์ชันของซอฟต์แวร์ Android ก่อนหน้าเมื่อท่านดำเนินการรีเซ็ตให้เป็นค่าเริ่มต้นจากโรงงาน
วิธีการรีเซ็ตกลับเป็นข้อมูลจากโรงงาน (Android 9)
หมายเหตุ
เพื่อหลีกเลี่ยงความเสียหายถาวรต่ออุปกรณ์ของท่าน กรุณาอย่าขัดจังหวะขั้นตอนการรีเซ็ตให้เป็นค่าเริ่มต้นจากโรงงาน
- ทำการสำรองข้อมูลสำคัญใดๆ ที่บันทึกไว้ในหน่วยความจำภายในของอุปกรณ์ของท่านไปยังการ์ดหน่วยความจำหรือหน่วยความจำอื่นที่ไม่ใช่หน่วยความจำภายใน หากท่านมีไฟล์ที่เข้ารหัสจัดเก็บไว้ในการ์ด SD ท่านควรลบการเข้ารหัสออกก่อน เพื่อให้แน่ใจว่าท่านจะยังสามารถเข้าใช้งานได้หลังจากการรีเซ็ต
- หาและแตะที่ การตั้งค่า (Settings) → ระบบ (System) → ตัวเลือกการรีเซ็ต (Reset options) ท่านจะพบรายการดังกล่าวใน ขั้นสูง (Advanced)
- แตะที่ ลบข้อมูลทั้งหมด (Erase all data) (factory reset) → รีเซ็ตโทรศัพท์ (Reset phone)
- หากจำเป็น กรุณาวาดรูปแบบการปลดล็อกหน้าจอหรือป้อนรหัสผ่านหรือ PIN สำหรับปลดล็อกหน้าจอเพื่อดำเนินการต่อ
- ในการยืนยัน กรุณาแตะที่ ลบทุกอย่าง (Erase everything)
คำชี้แนะ
อุปกรณ์ของท่านจะไม่ย้อนกลับเป็นเวอร์ชันของซอฟต์แวร์ Android ก่อนหน้าเมื่อท่านดำเนินการรีเซ็ตให้เป็นค่าเริ่มต้นจากโรงงาน
วิธีการรีเซ็ตกลับเป็นข้อมูลจากโรงงาน (Android 8)
หมายเหตุ
เพื่อหลีกเลี่ยงความเสียหายถาวรต่ออุปกรณ์ของท่าน กรุณาอย่าขัดจังหวะขั้นตอนการรีเซ็ตให้เป็นค่าเริ่มต้นจากโรงงาน
- ทำการสำรองข้อมูลสำคัญใดๆ ที่บันทึกไว้ในหน่วยความจำภายในของอุปกรณ์ของท่านไปยังการ์ดหน่วยความจำหรือหน่วยความจำอื่นที่ไม่ใช่หน่วยความจำภายใน หากท่านมีไฟล์ที่เข้ารหัสจัดเก็บไว้ในการ์ด SD ท่านควรลบการเข้ารหัสออกก่อน เพื่อให้แน่ใจว่าท่านจะยังสามารถเข้าใช้งานได้หลังจากการรีเซ็ต
- หาและแตะที่ การตั้งค่า (Settings) → ระบบ (System) → รีเซ็ต (Reset)
- แตะที่ การรีเซ็ตให้เป็นข้อมูลจากโรงงาน (Factory data reset) → รีเซ็ตโทรศัพท์ (Reset phone)
- หากจำเป็น กรุณาวาดรูปแบบการปลดล็อกหน้าจอหรือป้อนรหัสผ่านหรือ PIN สำหรับปลดล็อกหน้าจอเพื่อดำเนินการต่อ
- ในการยืนยัน กรุณาแตะที่ ลบทุกอย่าง (Erase everything)
คำชี้แนะ
อุปกรณ์ของท่านจะไม่ย้อนกลับเป็นเวอร์ชันของซอฟต์แวร์ Android ก่อนหน้าเมื่อท่านดำเนินการรีเซ็ตให้เป็นค่าเริ่มต้นจากโรงงาน